วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

E-SCM

Supply Chain Management : SCM
            ระบบที่จัดการการบริหารและเชื่อมโยงเครือข่ายตั้งแต่ suppliers, manufacturers, distributors เพื่อส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าโดยมีการเชื่อมโยงระบบข้อมูล วัตถุดิบ สินค้าและบริการ เงินทุน รวมถึงการส่งมอบเข้าด้วยกัน เพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งมอบได้ตรงตามเวลาและความต้องการ


            จากรูป ถ้ามองในกระบวนการผลิตแล้วจะประกอบไปด้วย 3 ส่วน  คือ Input, Process และ Output มีการดำเนินงานและการจัดการแบบห่วงโซ่ธุรกิจ (Supply Chain Management) ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบไปยังผู้บริโภคคนสุดท้าย
            Input คือส่วนของ But-Side เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการจัดหา และรวมรวมวัตถุดิบจากแหล่งต่างๆ จาก Suppliers
            Process คือ Intranet หรือส่วนขององค์กรและหน่วยงานที่่ทำหน้าที่ผลิตสินค้า ระบบที่ใช้ภายในองค์กรเป็นแบบ Private Network เพราะในขั้นตอนการผลิตต่างๆ ถือเป็นความลับทางการค้า ซึ่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ จะถูกแบ่งปันภายในองค์กรหรือหน่วยงานเพียงเท่านั้น
            Output คือส่วนของ Sell-Side สินค้าจะถูกส่งมายังร้านค้าของชำ หรือร้านค้าโชว์ห่วยต่างๆ ก่อนที่สินค้าจะถูกขายไปยังผู้บริโภคคนสุดท้าย
             Intermediaries คือ พ่อค้าคนกลางหรือช่องทางในการจัดส่งวัตถุดิบ และสินค้า หรือเรียกว่าเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างกระบวนการทั้ง 3 ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานในองค์กร


            จากรูป a และ b มีความแตกต่างกันคือ รูป b ของ SCM จะมีจำนวนสมาชิกที่เรียกว่า Intermediaries เพิ่มเข้ามาทำหน้าที่เป็นคนกลางหรือช่องทางการติดต่อ supplier กับองค์กรในด้าน Sell-side และติดต่อระหว่างองค์กรกับลูกค้าในด้าน Buy-side

ขั้นตอนวิวัฒนาการไปสู่ระบบการจัดการซัพพลายเชน
จำเป็นต้องอาศัยการวางแผนจัดลำดับก่อนหลังและรักษาประสิทธิภาพในการสื่อสารที่รวดเร็วและแม่นยำโดย Helen Peek และคณะได้กล่าวถึงระยะของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อเข้าสู่กระบวนบริหารซัพพลายเชน 4 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 องค์กรในรูปแบบพื้นฐาน (The Baseline Organization)
เป็นรูปแบบการบริหารจัดการแบบดั้งเดิมที่ต้องการสร้างผลกำไรสูงสุดขององค์กร โดยเน้นความชำนาญในการทางานของแต่ละแผนก
ระยะที่ 2 องค์กรที่รวมหน้าที่ทางธุรกิจเข้าด้วยกัน (The Functionally Integrated Company)
                องค์กรได้มีการรวบรวมหน้าที่ ลักษณะงานที่เป็นประเภทเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันไว้ในกลุ่มงานเดียวกัน ซึ่งจะไม่มีแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบออกจากันอย่างเด็ดขาดเหมือนระยะแรก
                ระยะที่ 3 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายในธุรกิจไว้ด้วยกัน (The Internally Integrated Company)
            มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันทำให้มีการติดต่อประสานงานเชื่อมโยงระหว่างฝ่ายงานมากขึ้น การทำงานจึงมีความต่อเนื่องกันเหมือนห่วงโซ บางอย่างยังสามารถที่จะใช้ทรัพยากรร่วมกันภายในองค์กรได้ด้วย ซึ่งเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ในระดับหนึ่ง
            ระยะที่ 4 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายนอกธุรกิจไว้ด้วยกัน (The Externally Integrated Company)
                บริษัทเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การบริหารลูกโซ่อุปทานภายนอก โดยเข้าไปทางานร่วมกับซัพพลายเออร์ในลักษณะที่เป็นเครือข่ายการทำงานเดียวกัน

การบริหารจัดการซัพพลายเชน
                พิจารณาความสามารถในการประสานระบบงานระหว่างองค์กรใน 3ส่วนหลัก ได้แก่
            1. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการระหว่างกลุ่ม suppliers (Supply-management interface capabilities) เพื่อให้ระบบปฏิบัติการโดยรวมมีต้นทุนต่ำที่สุด มีระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพและสามารถแข่งขันเชิงรุกเพื่อสร้างสรรค์ระบบการส่งมอบสินค้าที่รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการของลูกค้า
            2. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า (Demand-management interface capabilities) เป็นระบบการบริหารจัดการเพื่อการให้บริการที่มีคุณภาพและการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า สร้างความได้เปรียบเพิ่มขึ้นในเชิงการแข่งขัน
                3. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการสารสนเทศ (Information management capabilities) ระบบสื่อสารที่ดีทาให้เกิดความรวดเร็วและประหยัดต้นทุนในการดาเนินงานได้มาก ประเด็นที่ต้องพิจารณาในการพัฒนาระบบการสื่อสารได้แก่ ระดับเทคโนโลยีและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการจัดระบบสารสนเทศ


ปัญหาของการจัดการซัพพลายเชน
1.   ปัญหาจากการพยากรณ์ ที่ผิดพลาดมีส่วนทำให้การวางแผนการผลิตผิดพลาด
2.   ปัญหาในกระบวนการผลิต เช่น เครื่องจักรเสีย
3.    ปัญหาด้านคุณภาพ เช่น ส่งผลให้กระบวนการผลิตและการส่งมอบสินค้า
4.    ปัญหาในการส่งมอบสินค้า เช่น ซัพพลายเออร์ส่งมอบวัตถุดิบล่าช้า
5.     ปัญหาด้านสารสนเทศ เช่น ความผิดพลาดในการสั่งซื้อวัตถุดิบ
6.     ปัญหาจากลูกค้า เช่น ลูกค้ายกเลิกคำสั่ง
Bullwhip Effect คือปัญหาที่เกิดจากความแปรปรวนเล็กน้อยของความต้องการถูกนามาขยาย เมื่อส่งข้อมูลกลับต้นทาง

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี SCM ใน E-Business

            ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) กับโซ่อุปทาน ช่วยให้เกิดการประหยัดต้นทุน ลดการใช้คนกลางในการดำเนินธุรกิจ และลดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นระหว่างโซ่อุปทาน
การใช้บาร์โค้ด (Barcode)
            บาร์โค้ดหรือรหัสแท่ง เพื่อให้สามารถควบคุม การหมุนเวียนของสินค้าโดยรวดเร็วขึ้นไม่ว่าจะเป็นการรับ การจัดเก็บและการจ่ายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาและความซ้ำซ้อนในการทางาน
การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDI : Electronic Data Interchange)
            ในโซ่อุปทาน EDI ทำให้ประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายในการจัดส่งเอกสาร ลดปัญหาการสูญหายและความผิดพลาดเนื่องจากมีระบบฐานข้อมูลที่ถูกต้อง

การใช้ซอฟแวร์ Application SCM
            Enterprise Resource Planning (ERP) เป็นซอฟแวร์ที่จัดเป็นระบบศูนย์กลางขององค์กรทั้งหมด
            Advance Planning and Scheduling จัดสร้างแผนการผลิตและจัดตารางเวลาการผลิต
            Customer Asset Management ใช้สำหรับจัดระบบการสื่อสารโต้ตอบกับลูกค้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น