Supply Chain Management : SCM
ระบบที่จัดการการบริหารและเชื่อมโยงเครือข่ายตั้งแต่
suppliers, manufacturers, distributors เพื่อส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าโดยมีการเชื่อมโยงระบบข้อมูล
วัตถุดิบ สินค้าและบริการ เงินทุน รวมถึงการส่งมอบเข้าด้วยกัน เพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งมอบได้ตรงตามเวลาและความต้องการ
จากรูป ถ้ามองในกระบวนการผลิตแล้วจะประกอบไปด้วย 3 ส่วน
คือ Input, Process และ Output มีการดำเนินงานและการจัดการแบบห่วงโซ่ธุรกิจ
(Supply Chain Management) ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบไปยังผู้บริโภคคนสุดท้าย
Input คือส่วนของ But-Side เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการจัดหา
และรวมรวมวัตถุดิบจากแหล่งต่างๆ จาก Suppliers
Process คือ Intranet
หรือส่วนขององค์กรและหน่วยงานที่่ทำหน้าที่ผลิตสินค้า
ระบบที่ใช้ภายในองค์กรเป็นแบบ Private Network เพราะในขั้นตอนการผลิตต่างๆ
ถือเป็นความลับทางการค้า ซึ่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ
จะถูกแบ่งปันภายในองค์กรหรือหน่วยงานเพียงเท่านั้น
Output คือส่วนของ Sell-Side
สินค้าจะถูกส่งมายังร้านค้าของชำ หรือร้านค้าโชว์ห่วยต่างๆ
ก่อนที่สินค้าจะถูกขายไปยังผู้บริโภคคนสุดท้าย
Intermediaries คือ พ่อค้าคนกลางหรือช่องทางในการจัดส่งวัตถุดิบ และสินค้า
หรือเรียกว่าเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างกระบวนการทั้ง 3 ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานในองค์กร
จากรูป a และ b มีความแตกต่างกันคือ รูป b ของ SCM จะมีจำนวนสมาชิกที่เรียกว่า Intermediaries เพิ่มเข้ามาทำหน้าที่เป็นคนกลางหรือช่องทางการติดต่อ
supplier กับองค์กรในด้าน Sell-side
และติดต่อระหว่างองค์กรกับลูกค้าในด้าน Buy-side
ขั้นตอนวิวัฒนาการไปสู่ระบบการจัดการซัพพลายเชน
จำเป็นต้องอาศัยการวางแผนจัดลำดับก่อนหลังและรักษาประสิทธิภาพในการสื่อสารที่รวดเร็วและแม่นยำโดย
Helen
Peek และคณะได้กล่าวถึงระยะของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อเข้าสู่กระบวนบริหารซัพพลายเชน
4 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 องค์กรในรูปแบบพื้นฐาน
(The Baseline Organization)
เป็นรูปแบบการบริหารจัดการแบบดั้งเดิมที่ต้องการสร้างผลกำไรสูงสุดขององค์กร
โดยเน้นความชำนาญในการทางานของแต่ละแผนก
ระยะที่ 2 องค์กรที่รวมหน้าที่ทางธุรกิจเข้าด้วยกัน
(The Functionally Integrated Company)
องค์กรได้มีการรวบรวมหน้าที่
ลักษณะงานที่เป็นประเภทเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันไว้ในกลุ่มงานเดียวกัน ซึ่งจะไม่มีแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบออกจากันอย่างเด็ดขาดเหมือนระยะแรก
ระยะที่ 3 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายในธุรกิจไว้ด้วยกัน (The Internally
Integrated Company)
มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันทำให้มีการติดต่อประสานงานเชื่อมโยงระหว่างฝ่ายงานมากขึ้น
การทำงานจึงมีความต่อเนื่องกันเหมือนห่วงโซ บางอย่างยังสามารถที่จะใช้ทรัพยากรร่วมกันภายในองค์กรได้ด้วย
ซึ่งเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ในระดับหนึ่ง
ระยะที่ 4 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายนอกธุรกิจไว้ด้วยกัน
(The Externally Integrated Company)
บริษัทเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การบริหารลูกโซ่อุปทานภายนอก
โดยเข้าไปทางานร่วมกับซัพพลายเออร์ในลักษณะที่เป็นเครือข่ายการทำงานเดียวกัน
การบริหารจัดการซัพพลายเชน
พิจารณาความสามารถในการประสานระบบงานระหว่างองค์กรใน 3ส่วนหลัก ได้แก่
1. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการระหว่างกลุ่ม suppliers
(Supply-management interface capabilities) เพื่อให้ระบบปฏิบัติการโดยรวมมีต้นทุนต่ำที่สุด
มีระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพและสามารถแข่งขันเชิงรุกเพื่อสร้างสรรค์ระบบการส่งมอบสินค้าที่รวดเร็ว
ตอบสนองความต้องการของลูกค้า
2. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า
(Demand-management interface capabilities) เป็นระบบการบริหารจัดการเพื่อการให้บริการที่มีคุณภาพและการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
สร้างความได้เปรียบเพิ่มขึ้นในเชิงการแข่งขัน
3. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการสารสนเทศ
(Information management capabilities) ระบบสื่อสารที่ดีทาให้เกิดความรวดเร็วและประหยัดต้นทุนในการดาเนินงานได้มาก
ประเด็นที่ต้องพิจารณาในการพัฒนาระบบการสื่อสารได้แก่ ระดับเทคโนโลยีและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการจัดระบบสารสนเทศ
ปัญหาของการจัดการซัพพลายเชน
1. ปัญหาจากการพยากรณ์ ที่ผิดพลาดมีส่วนทำให้การวางแผนการผลิตผิดพลาด
2. ปัญหาในกระบวนการผลิต เช่น เครื่องจักรเสีย
3. ปัญหาด้านคุณภาพ เช่น ส่งผลให้กระบวนการผลิตและการส่งมอบสินค้า
4. ปัญหาในการส่งมอบสินค้า เช่น
ซัพพลายเออร์ส่งมอบวัตถุดิบล่าช้า
5. ปัญหาด้านสารสนเทศ เช่น
ความผิดพลาดในการสั่งซื้อวัตถุดิบ
6. ปัญหาจากลูกค้า เช่น
ลูกค้ายกเลิกคำสั่ง
Bullwhip Effect คือปัญหาที่เกิดจากความแปรปรวนเล็กน้อยของความต้องการถูกนามาขยาย
เมื่อส่งข้อมูลกลับต้นทาง
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี SCM
ใน E-Business
ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์
(e-Business) กับโซ่อุปทาน ช่วยให้เกิดการประหยัดต้นทุน
ลดการใช้คนกลางในการดำเนินธุรกิจ และลดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นระหว่างโซ่อุปทาน
การใช้บาร์โค้ด (Barcode)
บาร์โค้ดหรือรหัสแท่ง เพื่อให้สามารถควบคุม การหมุนเวียนของสินค้าโดยรวดเร็วขึ้นไม่ว่าจะเป็นการรับ
การจัดเก็บและการจ่ายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาและความซ้ำซ้อนในการทางาน
การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์
(EDI : Electronic Data Interchange)
ในโซ่อุปทาน EDI ทำให้ประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายในการจัดส่งเอกสาร
ลดปัญหาการสูญหายและความผิดพลาดเนื่องจากมีระบบฐานข้อมูลที่ถูกต้อง
การใช้ซอฟแวร์ Application SCM
Enterprise
Resource Planning (ERP) เป็นซอฟแวร์ที่จัดเป็นระบบศูนย์กลางขององค์กรทั้งหมด
Advance
Planning and Scheduling จัดสร้างแผนการผลิตและจัดตารางเวลาการผลิต
Customer Asset Management ใช้สำหรับจัดระบบการสื่อสารโต้ตอบกับลูกค้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น