วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

E-Commerce

ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (ELECTRONIC COMMERCE)

            พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) คือ การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในทุกช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าหรือบริการ การโฆษณาต่างๆ โดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์  วิทยุ หรืออินเทอร์เน็ต เพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรและลดข้อจำกัดในด้านระยะทางและเวลา


โครงสร้างพื้นฐานของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 



            แบ่งออกเป็น 3 ส่วนเหมือนกับโครงสร้างของบ้าน ที่ต้องมีส่วนประกอบ คือ ฐาน เสา และยอด เพื่อทำให้สิ่งนั้นแข็งแรง มั่นคง และสมบูรณ์

            ส่วนของฐาน E-Commerce Application ในการพัฒนาระบบ ประกอบไปด้วยโครงสร้าง (Infrastructure) ดังนี้
1.       บริการทางธุรกิจต่างๆ
2.       การส่งข้อความและการกระจายข่าวสาร
3.       เพื่อหาที่เป็นมัลติมิเดียและการประกาศบนเครือข่าย
4.       โครงสร้างเครือข่าย (การสื่อสารทางไกล, อินเทอร์เน็ต, ไวเลส)
5.       การ Interfacing สร้างฐานข้อมูล

            ส่วนสนับสนุนของ E-Commerce Application เปรียบเสมือนเสาหลักของบ้าน เพื่อให้เกิดการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย
     1.       คน (ผู้ซื้อ, ผู้ขาย, คนกลาง)
     2.       นโยบาย (กฎหมาย, ความเป็นส่วนตัว)
     3.       เทคนิคและมาตรฐาน (ความปลอดภัยของข้อมูล)
     4.       องค์กร (หุ้นส่วน, คู่แข่ง, สมาคม) ทางธุรกิจ


            สองส่วนนี้รวมกันทำให้เกิดเป็นยอด หรือ E-Commerce Application (การประยุกต์ใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์) เช่น การทำตลาดออนไลน์, การฝาก-ถอนเงินออนไลน์, การโฆษณาออนไลน์, การค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์, การประมูลอิเล็กทรอนิกส์, การบริการอิเล็กทรอนิกส์, รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์, การพาณิชย์ผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น

มิติของ E-Commerce


Brick-and-Mortar Organization
                องค์กรแบบเก่าที่ยังมีการดำเนินธุรกิจของเขาเป็นแบบเดิม ทั้งการผลิตสินค้าแบบ Manual ตัวสินค้าที่จับต้องได้ และจัดจำหน่ายวางขายตามท้องตลาด
Virtual Organization
                องค์กรที่มีการดำเนินต่างๆ ทางธุรกิจทั้งการผลิต สินค้า และการจำหน่ายเป็นแบบดิจิตอลทั้งหมด
Click-and-Mortar
                องค์กรที่มีการดำเนินงานหรือกิจกรรมบางงส่วนเป็นแบบ E-Commerce ในโลกเสมือนจริง แต่กิจกรรมหลักยังคงมีการดำเนินงานแบบ Manual ในโลกจริง

ประเภทของกลุ่มธุรกิจ  แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

                ธุรกิจที่ค้ากำไร                                 ธุรกิจที่ไม่ค้ากำไร
                    1) B2B                                                     1) IntraBusiness (Organization)
                    2) B2C                                                     2) B2E (Business to Employee)
                    3) B2B2C                                                 3) Government to Citizen (G2C)
                    4) C2C                                                     4) Collaborative Commerce (C-Commerce)
                    5) C2B                                                     5) Exchange to Exchange (E2E)
                    6) Mobile Commerce                                6) E-Learning


แบบจำลองทางธุรกิจ

                - ธุรกิจที่หารายได้จากค่าสมาชิก จากการให้บริการสารสนเทศหรือบริการที่มีคุณภาพที่ดี พอที่จะให้ลูกค้ายอมจ่ายเงินค่าสมาชิก ธุรกิจเหล่านี้ เช่น AOL, หนังสือพิมพ์ออนไลน์ชื่อดังต่างๆ, JObDB.com

                - ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ให้บริการแก่ E-Commerce อื่น เช่น ธุรกิจชำระเงินออนไลน์, ธุรกิจขนส่ง เป็นต้น ธุรกิจนี้จะขึ้นอยู่กับการขยายตัวของธุรกิจ E-Commerce ในตลาด

               -  ธุรกิจค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ เป็นธุรกิจขานสินค้าออนไลน์ แบบ Click-and-Mortar คือ ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านจริงเพียงแต่ขานสินค้าบนหน้าเว็บ แต่ต้องมีการสร้างคลังสินค้าขึ้นและการจัดส่งแบบ Physical เช่น Amazon, 7dream เป็นต้น

                ธุรกิจที่หารายได้จากการโฆษณาออนไลน์ ในการทำรายได้ให้สูงและประสบผลสำเร็จของธุรกิจในกลุ่มนี้ คือ การสร้างจุดเด่นที่แตกต่างจากธุรกิจในแนวเดียวกัน เช่น Yahoo!

              -   บริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ศึกษาความต้องการของประชาชนหรือผู้ใช้บริการ และออกแบบระบบให้สอดคล้องกับความต้องการนั้น เช่น eCitizen, การทำบัตรประชาชนที่ไหนก็ได้ที่รัฐอนุญาตให้สถานที่นั้นเปิดให้บริการ

                ธุรกิจประมูลสินค้าออนไลน์ จากการขายสินค้าส่วนเกินของบริษัท การขายสินค้ามือสอง (OLX), การประมูลสินค้าออนไลน์ (Ebay)

               -  ธุรกิจตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ หารายได้จากค่านายหน้าในการให้บริการตลาดกลาง ซึ่งช่วยจับคู่ผู้ชื้อและผู้ขายเข้าด้วยกัน

               -  ธุรกิจที่ใช้ E-Commerce ในการเพิ่ม Productivity ที่มีประสิทธิผลมากที่สุด ได้แก่ บริการ SCM และบริการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM)                                                                                                                                                           
                              SCM เข้ามาช่วยในเรื่องของการลดต้นทุนและคาดการยอดขาย ตลอดจนการส่งมอบสินค้าให้ลูกค้า                                  
                              CRM ช่วยให้ธุรกิจสามารถให้บริการลูกค้าโดยมีต้นทุนที่ลดลงจากการลดพนักงาน ในขณะที่สามารถเพิ่มหรือรักษาความพึงพอใจของลูกค้าได้

ข้อดีของ E-Commerce
1.       เปิดให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
2.       สามารถค้าขายได้อย่างอิสระทั่วโลก
3.       ใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ
4.       ประหยัดค่าเดินทางระหว่างดำเนินงาน
5.       ง่ายต่อการประชาสัมพันธ์
6.       เข้าถึงลูกค้าที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ง่าย
7.       ประหยัดเวลาและค้าใช้จ่าย
8.       ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านจริง

ข้อเสียของ E-Commerce
1.       ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ
2.       ไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ไม่มีบริการอินเทอร์เน็ต
3.       ขาดความเชื่อมั่นในการชำระเงินออนไลน์
4.       ขาดกฎหมายรองรับในการดำเนินธุรกิจออนไลน์
5.       การดำเนินการทางด้านภาษีไม่ชัดเจน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น